Into The Night เป็นซีรีส์วันสิ้นโลกแนวคิดใหม่จาก Netflix โดยเป็นซีรีส์สัญชาติเบลเยียม เรื่องราวเริ่มต้นอย่างเข้มข้นเมื่อทาแรนซิโอ นายทหารจากนาโต้แย่งปืนจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสนามบิน แล้วจี้เครื่องบินลำหนึ่งที่กำลังจะมุ่งหน้าไปมอสโคว์ เขาบังคับให้เครื่องบินไปทางทิศตะวันตกหนีจากพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยเหตุผลที่เหลือเชื่อว่า หากมนุษย์โดนแสงอาทิตย์จะต้องตายทั้งหมด
ตัวละครทั้งหมดบนเครื่องจึงต้องทำตามทาแรนซิโอ ทั้งที่ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาบอก หนึ่งในนั้นคือซิลวี อดีตทหารหญิงนักบินเฮลิคอปเตอร์ที่ต้องมาช่วยแมทธิว ผู้เป็นกัปตันควบคุมเครื่อง เธอต้องกุมชะตากรรมของเพื่อนร่วมไฟลท์หลายคน ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลสาวที่มาพร้อมกับคนไข้ชรา แม่ที่จะพาลูกไปผ่าตัดที่มอสโคว์ ชายวัยกลางคนชาวตุรกี หนุ่มอาหรับที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เน็ตไอดอลสาวที่จะเดินทางไปเปิดตัวสินค้า หรือวิศวกรเครื่องบินที่บินมาพร้อมกับไฟลท์นี้ด้วย
ที่มาภาพ: https://www.sanook.com/movie/97995/
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Into The Night คือตัวละครที่มาจากหลายพื้นเพ และมีหลายคาแร็คเตอร์ ทุกคนมีเหตุผลในแบบของตัวเองและพยายามดิ้นรน ขัดขืน หรือต่อรองกับสถานการณ์ที่ชวนอึดอัด บางครั้งตัวละครเหล่านี้ก็ร่วมมือกัน เช่น ตอนที่ทาแรนซิโอบอกให้ทุกคนโหวตว่าจะทำอย่างไรกับชะตากรรมของทุกคนบนเครื่องบิน ตัวละครทั้งหลายก็เห็นด้วยที่จะใช้ระบบโหวต หรือบางครั้งก็มีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น เช่น การโหวตให้ขังใครบางคนไว้ใต้ท้องเครื่องเพราะเขาเป็นอันตรายต่อทุกคนมากเกินไป
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เราจะได้เห็นว่าเวลาที่ตัวละครจนมุม พวกเขาจัดการกับตัวเองและผู้อื่นอย่างไร แม้รีวิวจากหลายแหล่งในไทยบอกว่าตัวละครเสียเวลาทะเลาะกันเองมากเกินไป แต่ผู้เขียนกลับเห็นว่าองค์ประกอบนี้ไม่ได้ดูขัดหูขัดตา เพราะตัวละครทุกตัวมีเป้าหมายที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา และต้องการให้ตัวเองกับคนที่รักรอด เมื่อบวกกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น การที่น้ำมันจะหมด ต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทาง ติดต่อวิทยุภาคพื้นดินไม่ได้ หรือมีใครป่วยกะทันหันขึ้นมา ตัวละครย่อมต้องตัดสินใจใหม่ และหาพรรคพวกใหม่
ที่มาภาพ: https://www.sanook.com/movie/97995/
ฉากส่วนใหญ่ของเรื่องเกิดขึ้นในเครื่องบิน และซีรีส์ก็ลงทุนกับฉากค่อนข้างมาก ทำให้เราเชื่อว่าทุกคนติดอยู่บนเครื่องจริงๆ สถานที่ที่พวกเขาไปก็มีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นห้องกัปตัน ห้องน้ำ ใต้ท้องเครื่อง ห้องผู้โดยสาร บาร์สำหรับพนักงานต้อนรับ การที่ตัวละครต้องจัดการกับพื้นที่ทำให้เกิดความรู้สึกลุ้นระทึก เช่น เมื่อตัวละครจะคุยความลับกันก็ต้องคุยใกล้ๆ กับคนที่อาจทำอันตรายต่อตัวเองได้ หรือเมื่อมีคนป่วยขึ้นมากะทันหันก็ต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เราลุ้นไปกับตัวละครมากขึ้นว่าจะเอาชีวิตรอดได้สำเร็จหรือไม่ ซึ่งซีรีส์ก็ทำได้ดีในมาตรฐานของซีรีส์ทริลเลอร์ที่ใช้ฉากเป็นพื้นที่ชูโรง
ที่มาภาพ: https://www.newindianexpress.com/entertainment/review/2020/may/05/into-the-night-season-one-review-an-adrenaline-pumping-ride-from-start-to-finish-2139155.html
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเนื้อเรื่องส่วนสำคัญ)
ปมขัดแย้งหนึ่งที่น่านำมาคิดก็คือเรื่องการตัดสินใจจะช่วยหรือทิ้งใครไว้ข้างหลัง เมื่อเครื่องบินลงจอดที่ไอซ์แลนด์ ตัวละครตัวหนึ่งก็โวยวายขึ้นมาให้ทุกคนกลับไปเบลเยียมเพื่อไปช่วยครอบครัวของตัวเอง แต่ตัวละครบางตัวก็ให้ความเห็นว่าพวกเขาทำอะไรไม่ได้แล้ว และนี่เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฉากนี้ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากถึงวันสิ้นโลก เราจะอยากเอาชีวิตรอด หรือตายไปพร้อมกับคนที่เรารักมากกว่ากัน ซึ่งถ้าเลือกได้แต่ละคนก็ย่อมมีคำตอบที่แตกต่างกัน
ที่มาภาพ: https://decider.com/2020/05/01/into-the-night-on-netflix-stream-it-or-skip-it/
ที่ไอซ์แลนด์ พวกเขายังก็ได้รับนายทหารสามนายขึ้นเครื่องมาด้วย แต่มารู้ภายหลังว่าสามคนนี้เป็นนักโทษคดีข่มขืนที่ถูกจับขึ้นศาลทหาร ทุกคนบนเครื่องจึงตัดสินใจว่าจะสร้างอุบายล่อนายทหารออกไป แล้วทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง ฉากนี้ทำให้น่าฉุกคิดว่า คนเราสามารถตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่เขาทำในอดีตได้หรือไม่ นายทหารสามคนนั้นอาจมีความผิดจริง แต่เขาสมควรตายหรือไม่ และเราสามารถเป็นคนตัดสินชะตาชีวิตของเขาได้หรือเปล่า ดูเหมือนว่าปมนี้จะถูกสานต่อไป
และเมื่อภายหลังทุกคนพบว่าคนหนึ่งบนเครื่องก็เป็นอาชญากรเหมือนกัน สิ่งที่ต่างไปก็คือ เขาได้ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งบนเครื่องเอาไว้ ทำให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาต่างไปจากนายทหารทั้งสามเหล่านั้น คำถามก็คือ อะไรคือมาตรฐานที่เราจะใช้ตัดสินช่วยชีวิตคนหนึ่งคน เหตุใดเราจึงช่วยใครสักคนเพียงเพราะเขาทำความดี เราจะบอกว่าใครสักคนมีศีลธรรมได้จากอะไรบ้าง และคนมีศีลธรรมเท่านั้นหรือที่ควรรอด
ที่มาภาพ: https://www.indiewire.com/2020/05/into-the-night-netflix-french-plane-show-1202229107/
โดยสรุปแล้ว ซีรีส์ทำให้เราได้ขบคิดเกี่ยวกับประเด็นความเป็นมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง และการตัดสินใจของตัวละครหลายตัวก็ค่อนข้างน่าเชื่อถือ บุคลิกของตัวละครทำออกมาได้อย่างมีสเน่ห์ และเนื่อเรื่องก็น่าติดตาม อาจเพราะเหตุนี้จึงทำให้ซีรีส์ได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes มากถึง 83% ถือว่าเป็นอีกซีรีส์ดีที่ดูจบได้ในเวลาไม่นาน และไม่ควรพลาด
ที่มาภาพ: https://www.imdb.com/title/tt10919486/mediaviewer/rm794997505
|
นักเขียนอิสระให้กับสื่อออนไลน์ ชอบวิจารณ์หนังและหนังสือ |