"สตีเฟ่น คิง" นักประพันธ์นิยายระดับโลก บุคคลที่เรามักจะได้เห็นชื่อของเขา ถูกใช้เป็นเครดิตบนภาพยนตร์ทั้งหลาย นั่นก็เพราะผลงานของเขานั้น ได้ถูกรังสรรค์ออกมาในรูปแบบของแผ่นฟิล์มมาแล้วมากกว่า 30 เรื่อง! และ The Dark Tower นี้เอง คือหนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อมากที่สุดชิ้นหนึ่งของเขา ที่ล่าสุดนี้ก็ได้กลายเป็นฉบับภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อย พร้อมได้นักแสดงมากฝีมือทั้งสองอย่าง Idris Elba และ Matthew McConaughey มารับหน้าที่ขับเคลื่อนให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความสนุกระดับบลอกบัสเตอร์!
แต่นอกเหนือจากการได้มาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มแล้วนั้น นิยายต้นฉบับของ The Dark Tower เอง ก็มีเรื่องราวมากมายรอบตัวที่น่าสนใจไม่แพ้ตัวภาพยนตร์เลย และด้วยเหตุนี้ Thaiware จึงอยากจะขอนำเสนอ "5 สิ่งที่น่าสนใจของภาพยนตร์ The Dark Tower" แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เชิญรับรู้ไปพร้อมกันๆ ในบทความ (และวิดีโอ) นี้ได้เลยครับผม!
จริงๆ แล้ว The Dark Tower ถูกวางโปรเจคที่จะสร้างเป็นฉบับภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 2007 แล้วละครับ โดยจะเป็นฝีมือการช่วยกันสร้างขึ้นมาของเหล่าผู้กุมบังเหียนซีรีย์ในตำนานอย่าง Lost ที่นำทีมโดย JJ Abram ที่ ณ ตอนนั้นทางทีมงานเองค่อนข้างจะมั่นใจพอสมควร
เพราะในปีเดียวกันกับช่วงที่วางโปรเจค ในภาพยนตร์เรื่อง The Mist ที่เป็นหนึ่งในผลงานวนิยายของสตีเฟ่นคิง/ ก็ได้แอบมี Ester Egg ที่ปรากฎในช่วงต้นเรื่องอันเป็นภาพวาดที่ตัวละครเอกของเรื่องกำลังลงสีอยู่/ ซึ่งรูปบนภาพผืนนั้น คือ Roland Deschain สิงห์ปืนไว ตัวเอกของเรื่อง The Dark Tower ที่แอบบอกใบ้ว่า มาแน่ๆ หนังเรื่องนี้!
แม้ทรงจะดูมาดีขนาดนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววใดๆ เพิ่มเติมจากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จนในที่สุดสิทธิ์ในการสร้างก็หมดลงในปี 2010 และกลายเป็นค่าย Universal Picture พร้อมกับ Ron Howard ที่ผลงานสร้างชื่อ ณ ตอนนั้น คือ The Davinci Code ได้สิทธิ์ในการสร้างไป แต่แล้ว… โปรเจคนี้ ก็โดนยุบอีกรอบครับ เพราะดันมีงบประมาณที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงเวลาที่โปรเจคกำลังดำเนินการ
จนท้ายในที่สุดก็มาจบลงเป็นรูปเป็นร่างกับค่าย Sony Pictures Entertainment ในปี 2015 และได้ Nikolaj Arcel เป็นผู้กำกับของเรื่องจนจบกระบวนการถ่ายทำและพร้อมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 10 สิงหาคมนี้
หลายครั้งที่ผู้เขียนเห็นภาพตัวละครเอกบนปกนวนิยายนี้ผ่านตา ก็รู้สึกอดไม่ได้จริงๆ ที่จะนึกถึงดาราระดับตำนานอย่าง Clint Eastwood ในบทบาทคาวบอยมาดเท่ไร้นาม หรือ Man with No Name ในภาพยนตร์ไตรภาคชื่อเดียวกันนี้อย่าง Man with No Name ไม่ว่าจะทั้งรูปหน้า, การแต่งตัว หรือแม้แต่บุคลิกที่พูดน้อยต่อยหนักเหมือนกันในฉบับนวนิยายเลยละ
ซึ่งข้อพิพากษ์ที่ผู้เขียนคิดนี้ ดูจะมีหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงกันได้อยู่แถมออกมาจากปากของสตีเฟ่น คิงโดยตรงเลยละ โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Roland Deschain หรือตัวละครเอกในนิยายเรื่องดังกล่าวนี้ เขาได้วาดภาพให้เป็น Clint Eastwood ในฉบับโลกแฟนตาซี
ขึ้นชื่อว่าผู้กำกับภาพยนตร์ สิ่งที่คนดูอย่างเราๆ ควรจะไว้ใจและเชื่อใจ คือการตัดสินใจของพวกเขาในด้านต่างๆ ของหนัง ไม่ว่าจะแนวทางการนำเสนอเรื่อง, การสั่งคัทเพื่อฉากที่ถ่ายทำที่ดีที่สุด รวมไปถึงการเลือกนักแสดงที่เขาพร้อมจะฝากความหวังไว้ในเรื่องที่สุด
ซึ่งก็ดูเหมือน Idris Elba นักแสดงผิวสีคนนี้ จะเป็นตัวเลือกที่ Nikolaj Arcel ผู้กำกับของเรื่อง ให้ความสำคัญมากที่สุดเพื่อมารับบท Roland Deschain ตัวละครเอกนักแม่นปืนนี้ ที่ในฉบับนวนิยายนั้น สตีเฟ่น คิงได้ "วางรูปพรรณสันฐานไว้ให้เป็นชายหนุ่มผิวขาว"
แน่นอนละครับว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ ดูจะมีปัญหากับกลุ่มแฟนคลับเดนตายมากที่สุด เพราะพื้นหลังในโลกฉบับนิยาย คือดินแดนตะวันตกอันเป็นบ้านเกิดของเหล่าคาวบอยที่พวกเขาคิดกันว่าควรจะต้องเป็นหนุ่มผิวขาวสิถึงจะถูกต้อง
แต่กลับกัน ในมุมมองของแฟนคลับอีกกลุ่มหนึ่ง, ผู้กำกับ และเจ้าของนิยาย ไม่มีความต้องการให้มันตรงปกหรือคงไว้ซึ่งความเป็นต้นฉบับอะไรขนาดนั้น และสตีเฟ่น คิง เองก็ได้ทวิตความคิดเห็นของเขาที่มีต่อ Idris Elba ในบทบาทนี้ในแง่ที่เป็นกลางและไปในทิศทางสนับสนุนหลาย ทวิตครับ
เอาเป็นว่าสิ่งที่คนดูอย่างเราๆ ควรจะสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ ผมว่าควรจะเป็นความสนุกที่เราจะได้รับ ก่อนที่จะตัดสินหนังสือเพียงหน้าปกนะครับว่าไหม?
ข้อนี้ได้อารมณ์ซ้อนเชิงซ้อนเชิงซ้อนเชิงซ้อนวนลูปเหมือนในเรื่อง Inception มากเลยทีเดียวละครับ เพราะนอกจากที่ภาพยนตร์ The Dark Tower นี้ จะถูกดัดแปลงมาจากฉบับนิยายชื่อเดียวกันแล้ว ตัวนิยายเองก็ยังจะถูกดัดแปลงและได้รับแรงบันดาลใจมากบทกวีอีกต่อหนึ่งที่มีชื่อใกล้เคียงกันอย่าง “Childe Roland to the Dark Tower Came” อันเป็นผลงานของ Robert Browning (โรเบิร์ต บราวนิ่ง) นักกวีชื่อดังจากแดนผู้ดีอังกฤษที่… ก็ได้รับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อบทกวีของเขามาจากบทพูดพรรณาในท่อนสุดท้ายจากละครเวทีของวิลเลี่ยมเรื่อง King Lear อีกทีครับ (ฮ่าๆ)
แต่นอกเหนือจากกวีเชิงซ้อนกันทั้งสองแล้ว The Dark Tower เอง ยังนำแรงบันดาลใจมาจากนิยายต่างๆ อีกมากมายครับ ทั้งการอิงวัตถุประสงค์หรือปฎิพานของตัวละครเอกที่ใกล้เคียงกับไตรภาคนิยายและฉบับภาพยนตร์แห่งดินแดนมิดเดิลเอิร์ธอย่าง The Lord of The Ring, โครงเรื่องและตำนานเล่าขานในเรื่องที่อ้างอิงจากวรรณกรรมยุคกลางของอังกฤษอย่าง The Matter of Brittan ปิดท้ายด้วยกลิ่นอายและอารมณ์ของเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก The Good The Bad and The Ugly ภาพยนตร์ภาคปิดฉากไตรภาคคาวบอยแดนสปาเกตตี้ในตำนานอย่าง The Man with No Name
ข้อนี้ดูจะเป็นข้อมูลที่ดูจะเบาสมองที่สุด แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่านวนิยายเรื่องนี้ "มีของดีพอสมควร" โดยในปี 2007 หรือปีเดียวกันกับที่มีข่าวถึงโปรเจคที่คิดจะสร้าง The Dark Tower เป็นฉบับภาพยนตร์นั้น
เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่นิยายดังกล่าวนี้ ถูกดัดแปลงออกมาให้กลายเป็นหนังสือการ์ตูนคอมมิคภายใต้ลิขสิทธิ์ของทาง Marvel ที่ได้ Jae Lee นักออกแบบตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ที่เคยรังสรรค์งานวาดของหัวปักษ์หนังสือคอมมิคส์เหล่ายอดมนุษย์ทั้งฝั่ง Marvel และ DC มาแล้วมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็น Before Watchmen, Inhuman, Namor The Sub-Mariner เป็นต้น
โดยใน 30 ตอนของ 5 เล่มแรกในฉบับคอมมิคส์นั้น จะเป็นการบอกเล่าเหตุการณ์แฟลชแบลกจากในฉบับนิยายเล่มแรกอย่าง The Dark Tower: The Gunslinger และเล่มที่สามอย่าง The Dark Tower 3 : Wizard and Glass ส่วนเล่มต่อๆ มา จะเป็นการขยายรายละเอียด หรือเหตุการณ์ต่างๆ บนนิยาย
หวังว่าคงจะเต็มอิ่มกัน กับ "5 สิ่งที่น่าสนใจของภาพยนตร์ The Dark Tower" และหากมีข้อมูลส่วนไหนที่ผิดพลาดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยละกันนะครับ ปิดท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกคนที่ได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าวที่ผู้เขียนนำเสนอไป ทำให้สนุกสนานไปกับภาพยนตร์ได้มากยิ่งขึ้นนะครับผม ^^
|
ทำไมไม่เรียกแมว! รักหนัง รักเกม ร๊ากกทุกคนนน ~ <3 |