เรื่องเล่าสยองของหนังสือสุดสะพรึง Scary Stories to Tell in the Dark | Part 1
เรื่องเล่าสยองของหนังสือสุดสะพรึง Scary Stories to Tell in the Dark | Part 2
Scary Stories to Tell in the Dark เป็นหนังสยองขวัญ-ระทึกขวัญ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเรื่องสั้นสยองขวัญสำหรับเด็กที่ชื่อเดียวกัน ถูกหยิบยกมาเล่าใหม่โดยได้ผู้อำนวยการสร้างเป็น Guillermo del Toro ที่เคยฝากผลงานสยองขวัญไว้กับ Pan’s Labyrinth การันตีรางวัลออสการ์จาก The Shape of Water และได้สองพี่น้อง Dan กับ Kevin Hageman มาดัดแปลงเรื่องสั้นจากหนังสือมาเป็นบทหนัง และได้ André Øvredal มานั่งแท่นกำกับหนังเรื่องนี้
โดยหนังสือ Scary Stories to Tell in the Dark เป็นผลงานการเขียนของ Alvin Schwartz และวาดโดย Stephen Gammel ที่มีอยู่ด้วยกัน 3 เล่ม นั่นคือ Scary Stories to Tell in the Dark, More Scary Stories to Tell in the Dark และ Scary Stories 3: More Tales to Chill your Bones โดยมันรวมเรื่องสยองขวัญทั้งหมด 3 เล่มมากถึง 82 เรื่อง! ซึ่งตัวหนังก็หยิบเอาเรื่องราวบางเรื่องจากหลายๆ เล่มของหนังสือทั้ง 3 เล่มเนี่ยแหละ มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวให้เกิดขึ้นในหนัง
ในบทความนี้ เราจะมาบอกเล่าเรื่องราวในหนังสือที่หนังหยิบไปทำกันว่า เรื่องราวมันจะเป็นยังไง ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยครับ
มาเริ่มกันที่เรื่องแรก The Big Toe เป็นเรื่องที่มาจากหนังสือเล่มแรก และเป็นเรื่องราวแรกของหนังสือด้วย เรื่องราวมันมีอยู่ว่า…
วันหนึ่งเด็กชายได้ไปเดินเล่นในสวน และเขาก็ขุดดินเล่นตามประสาเด็ก แต่เมื่อเขาขุดไปเรื่อยๆ เขาก็ได้เจอกับสิ่งหนึ่ง ที่ลักษณะเหมือนหัวแม่เท้าของมนุษย์ เด็กชายคนนั้นพยายามจะดึงมันขึ้นมา แต่มันก็ติดอะไรบางอย่าง เขาจึงพยายามดึงอย่างสุดแรงเกิด จนในที่สุดมันก็หลุดขึ้นมาคามือเขา ทันทีที่ดึงหลุดมาเขาก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด จึงทำให้เด็กชายคนนั้นรีบวิ่งกลับบ้านในทันที
หลังจากที่กลับถึงบ้าน เขาก็วิ่งไปที่ห้องครัวไปหาแม่ของเขาในทันที พร้อมกับโชว์สิ่งที่เขาได้มา ลักษณะเหมือนนิ้วหัวแม่เท้าให้แม่เขาดู
แม่ของเขาจึงกล่าวว่า
“นั่นเป็นชิ้นเนื้อที่ดูดีเลยทีเดียว”
“เอาล่ะ แม่จะเอามันใส่ในซุปนะ และเราจะได้ทานมันตอนอาหารเย็นกัน”
คืนนั้นที่โต๊ะอาหารเย็น ผู้เป็นพ่อก็ได้หยิบชิ้นเนื้อนั้นขึ้นมา และตัดมันออกเป็นสามส่วนเพื่อที่จะแบ่งให้ภรรยาและลูกกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ในระหว่างอาหารเย็น ผู้เป็นพ่อก็ได้หยิบชิ้นเนื้อนั้นมาหั่นเป็น 3 ส่วน เพื่อแบ่งให้ พ่อ แม่ ลูก ได้กินกัน
ตกดึกเด็กชายก็ได้เข้านอนตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือ...เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงประหลาด เขาจึงฟังอย่างตั้งใจ จึงได้รู้ว่าเสียงดังดังมาจากนอกหน้าต่าง และเสียงนั้นกำลังเรียกหาเขา!
“นิ้วเท้าฉันอยู่ไหน?”
เด็กชายได้ยินเช่นนั้นจึงทำให้เขากลัวมาก เขาจึงนึกในใจว่า
“มันไม่รู้หรอกว่าฉันอยู่ไหน มันไม่มีทางหาฉันเจอ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมอีกรอบ แต่มันใกล้ขึ้น
“นิ้วเท้าฉันอยู่ไหน?”
เด็กชายรีบดึงผ้ามาคลุมและพยายามข่มตาหลับ พร้อมบอกตัวเองว่า
“ฉันจะไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมามันก็จะหายไป”
แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงเดิมที่ใกล้มากกว่าเดิม
“นิ้วเท้าฉันอยู่ไหน?”
เสียงนั้นค่อยๆ เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันแทบจะอยู่ติดเตียงเด็กชายคนนั้นแล้ว และมันก็หยุด
“นิ้วเท้าฉันอยู่ไหน?”
“แกเอาไปมันไป!!!”
เด็กชายช็อคตกใจขยับไม่ได้ ตัวแข็ง พร้อมถามไปว่า
“นะนะนายมีดวงตาที่ใหญ่แบบนั้นไว้เพื่ออะไร”
ผี: “เพื่อมองทะลุเข้าไปในตัวแก!!!
เด็กชาย: “ละละแล้วกรงเล็บนั่นหล่ะ”
ผี: “เพื่อขุดหลุมฝังศพแกไง”
เด็กชาย: “ทะทะทำไม ปากแกใหญ่จัง"
ผี: “เอาไว้กลืนกินแกทั้งตัวยังไงหล่ะ!!!”
เด็กชาย: “ละละแล้วฟันแหลมๆ นั่นหล่ะ”
ผี: “เอาไว้เฉาะกระโหลกแก!!!”
Pale Lady เป็นตัวละครในชื่อตอน The Dream ที่อยู่ในเล่มสามของหนังสือเรื่องนี้
เรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่า Lexi Morgan มีอยู่คืนหนึ่งเธอได้ฝันประหลาดกว่าทุกที เธอฝันว่าเธอกำลังเดินขึ้นบันไดในความมึดมิด และเมื่อเธอเดินพ้นขั้นสุดท้าย เธอก็เดินตรงเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่ง ทันทีที่เธอเปิดประตูเข้าไป เธอสังเกตเห็นว่าที่พื้นเหมือนมีประตูลับอยู่ และหน้าต่างแต่ละบานในห้องยังถูกปิดตาย ที่ถูกยึดไว้ด้วยแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่ตอกตะปูทับไป
แต่เธอก็ไม่ได้เอะใจอะไร และเดินไปนอนที่เตียงพร้อมหลับไปในทันที แต่กลางดึกคืนนั้น เธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนเดินอยู่ในห้องเธอ!
ไม่ทันที่เธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เสียงเดินนั่นก็เข้ามาใกล้เธอพร้อมกระซิบข้างๆ หูเธอว่า “ที่นี่มันเป็นที่ที่ชั่วร้าย หนีไปซะในขณะที่เธอยังทำได้!” หลังจากนั้นเจ้าของเสียงกระซิบก็คว้าหมับเข้าที่มือของเธอ ปรากฏเป็นผู้หญิงผิวขาวซีดเซียว ดวงตาดำทั้งดวง และผมดำยาว ทันทีที่เธอโดนจับ เธอเสะดุ้งตื่นและกรีดร้องสุดเสียง และในคืนนั้นเธอก็ต้องอยู่ในอาการตัวสั่นหวาดผวา และไม่ได้นอนอีกตลอดจนกระทั่งเช้า
ตอนเช้าเธอได้ไปหาเจ้าของที่ดินแล้วบอกว่าเธอตัดสินใจจะไม่ไปที่ Kingston แล้ว
“ฉันบอกคุณไม่ได้ว่าทำไม”
“แต่ฉันแค่ไม่อยากเอาตัวฉันไปอยู่ที่นั่น”
เจ้าของที่ดินเลยตอบกลับไปว่า “ทำไมเธอไม่ไปที่ Dorset หล่ะ?”
“มันเป็นเมืองที่สวยงามและอยู่ไม่ไกลด้วยนะ”
ดังนั้น Lexi Morgan จึงเดินทางไปที่ Dorset ซึ่งมีคนบอกเธอว่า เธอสามารถหาห้องพักได้ในบ้านพักที่อยู่บนยอดเขา
หลังจากที่เธอไปถึง เธอก็พบว่าสถานที่แห่งนี้สวยงามเหมือนที่เจ้าของที่ดินได้บอกเอาไว้เลย หลังจากเธอยืนมองอยู่ไม่นาน เจ้าของที่ดินก็เดินเข้ามาหาเธอแล้วบอกว่า
“มาดูห้องพักก่อนดีกว่า ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบมันนะ”
พวกเขาเดินขึ้นไปตามบันไดในความมึด จน Lexi ตระหนักได้ว่า มันเหมือนกับความฝันของเธอไม่มีผิดเพี้ยน แต่เธอก็คิดในใจว่า
“บ้านแบบนี้ก็มีบันไดแบบนี้ทั้งนั้นนั่นแหละ”
และเมื่อเปิดเข้าไปดูในห้อง เธอถึงกับต้องผงะ เมื่อมันเหมือนกับความฝันของเธอมาก ทั้งประตูลับที่พื้น หรือแม้กระทั่งหน้าต่างที่มีแผ่นไม้ปิดไว้ที่ถูกตอกทับด้วยตะปู แต่เธอยังมองโลกในแง่ดีและคิดในใจว่า
“มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญน่า”
“เธอชอบมันไหม” เจ้าของที่เอ่ยถามขุึ้นมา
“ฉันไม่แน่ใจ” Lexi ตอบ
“ไม่เป็นไร ใช้เวลาคิดสักแปบก็ได้ เดี๋ยวฉันจะลงไปเอาชามาให้ในขณะที่เธอกำลังคิดนะ” เจ้าของที่ดินพูด
Lexi เดินไปนั่งที่เตียงและมองไปรอบๆ ห้องไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เจ้าของที่ไปเอาชามาเร็วจัง”
แต่ทันทีที่เธอเปิดประตูออกมา!
มันปรากฏเป็นร่างของหญิงผิวสีซีด ผมดำยาว ดวงตาดำทมิฬ
Lexi วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตพร้อมกรีดร้องอย่างสุดเสียง
Red Spot เป็นเรื่องที่อยู่ในเล่มสาม โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า…
คืนหนึงเด็กสาวได้นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสุขสบาย แต่แล้วก็มีแมงมุมตัวหนึ่งไต่ขึ้นมาที่หน้าของเธอ และหยุดอยู่ที่แก้มซ้ายของเธอชั่วครู่ ก่อนมันจะคลานหายไป
รุ่งเช้า เด็กสาวคนนั้นก็ต้องตกใจ เมื่อเธอส่องกระจกแล้วพบว่ามีตุ่มสีแดงอยู่บนแก้มซ้ายของเธอ
“นี่มันอะไรคะ แม่” เด็กสาววิ่งไปถามแม่ด้วยความรวดเร็ว
“อื้ม...มันเหมือนรอยแมงมุมกัดนะ”
“เดี๋ยวก็หาย แค่อย่าไปเกามันก็พอ” แม่ตอบ
ไม่นานตุ่มแดงนั่นก็เริ่มใหญ่ขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะหายง่ายๆ
“ดูสิแม่ มันกำลังใหญ่ขึ้น” เด็กสาวพูดด้วยความตกใจ
“อ๋อ บางครั้งมันก็เป็นแบบนั้นแหละ” แม่เธอตอบ
ผ่านมาไม่กี่วัน ตุ่มแดงนั่นก็ใหญ่ขึ้นอีกจนน่าตกใจ
“ดูตอนนี้สิแม่ มันเจ็บมาก และมันทำให้หนูดูน่าเกลียด” เด็กสาวเริ่มโวยวายด้วยความเจ็บปวด
“ไปให้หมอดูดีกว่ามั้งเนี่ย...ไม่แน่มันอาจจะติดเชื้อนะ” แม่เริ่มเป็นห่วงตุ่มแดงที่ใหญ่ขึ้นจนผิดปกติ
แต่ในวันถัดมา หมอก็ไม่เห็นเด็กสาวคนนั้นมารักษา เพราะเธอเลือกที่จะอยู่บ้าน ทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นๆ
และไม่นานในขณะที่เธอกำลังนอนแช่น้ำอย่างสบายใจ ตุ่มแดงนั่นก็แตก!!!
ฝูงแมงมุมนับร้อยวิ่งออกมาจากตุ่มแดง ที่ซึ่งความจริง แม่แมงมุมได้ฝังไข่เอาไว้บนหน้าเธอนั่นเอง
Sarah Bellows เป็นเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกในชื่อเรื่องว่า The Haunted House
ครั้งหนึ่ง นักบวชมีอายุคนหนึ่งได้มีความคิดจะขับไล่วิญญาณร้ายที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนึง ที่มันสิงบ้านหลังนี้มาเป็น 10 ปี หลายๆ คนเคยลองที่จะอยู่ แต่เพียงคืนเดียวเท่านั้นก็ต้องหนีออกกันหมดจากฝีมือของผีร้าย
ดังนั้น นักบวชคนนี้จึงเข้าไปที่บ้านหลังนั้นพร้อมคัมภีร์ไบเบิลหนึ่งเล่ม เขานั่งอ่านคัมภีร์อยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งกลางดึก เขาได้ยินเสียงบางอย่างมาจากห้องใต้ดิน เหมือนมีคนกำลังเดินเข้าๆ ออกๆ ...เข้าๆ ออกๆ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเหมือนคนพยายามจะกรีดร้อง แต่เหมือนโดนบีบคอเอาไว้เสียก่อน ตามมาด้วยเสียงแปลกๆ อีกมากมาย จนในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลง
นักบวชได้หยิบไบเบิลขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มอ่านมัน เขาได้ยินเสียงเท้า เหมือนคนกำลังเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดิน เขาจึงปิดหนังสือ และจ้องไปที่ประตูจากห้องใต้ดินในทันที เสียงเท้าค่อยๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเสียงเท้าก็หยุด และลูกบิดประตูก็เริ่มหมุน จนกระทั่งบานประตูถูกเปิดออก
นักบวชไม่รอช้า ลุกจากเก้าอี้แล้วกระโจนไปหน้าประตูนั้นทันทีพร้อมตะโกนว่า
“แกต้องการอะไร!!!”
ประตูถูกปิดทันทีและเสียงทุกอย่างก็เงียบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นักบวชอาวุโสคนนี้ก็เริ่มสั่นบ้างเล็กน้อย เขาจึงเปิดไบเบิลและเริ่มอ่านมันอีกครั้ง และก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ผิงไฟดังเดิม
แต่ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิม เสียงคนเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดินอีกครั้ง! นักบวชนั่งจ้องที่ประตูเหมือนเช่นที่เขาทำเมื่อชั่วครู่ นั่งมองดูลูกบิดค่อยๆ หมุน และประตูก็เปิดออก! แต่คราวนี้นักบวชได้แต่นั่งนิ่ง
เพราะภาพที่เห็นคือหญิงสาวเดินออกมาจากประตูบานนั้น!
นักบวชคนนั้นตกใจเป็นอย่างมาก และถอยออกห่างจากตรงนั้นในทันที พร้อมตะโกนถามว่า
“แกเป็นใคร แกต้องการอะไร”
แต่ไม่นานวิญญาณร้ายตัวนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป นักบวชคนนั้นก็ได้แต่รอ รอ และรอ จนในที่สุดทุกอย่างจะเงียบลงดังเดิม เขาจึงเดินไปปิดประตูห้องใต้ดิน คราวนี้เขาเหงื่อแตกพลั่ก ใจสั่นระรัว แต่เขาก็รวบรวมความกล้าอีกครั้ง
คราวนี้เขาจับเก้าอี้หันไปทางประตูห้องใต้ดินและเฝ้ารอ…
ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมาที่ประตูอีกครั้ง!!!
คราวนี้นักบวชยืนขึ้นพร้อมกำไบเบิลที่มือเขาเอาไว้แน่น ลูกบิดประตูค่อยๆ หมุน และประตูก็เปิดออก
นักบวชพูดอย่างเงียบๆ ช้าๆ “ในนามของพระบิดา พระบุตรและพระจิต”
“คุณเป็นใครและคุณต้องการอะไร”
วิญญาณตนนั้นพุ่งตรงมาที่หน้านักบวชทันที จนสังเกตได้ชัดเจนว่า วิญญาณตนนี้เป็นหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปี ผมของเธอดูยุ่งเหยิงและขาดรุ่งริ่ง เธอไม่มีจมูก และไม่นานชิ้นส่วนบนใบหน้าของเธอค่อยๆ หลุดร่อนออกมา ทีละชิ้น จนเห็นถึงกระดูก เห็นโครงฟัน และเมื่อมองดีๆ เธอไม่มีแม้กระทั่งลูกตาด้วยซ้ำ
เธอจึงเริ่มพูดบางอย่างออกมา แต่เสียงของเธอแผ่วเบามากจนแทบไม่ได้ยิน เธอได้เล่าว่าคนรักของเธอฆ่าเธอเพื่อต้องการเงินของเธอ และฝังเธอไว้ที่ห้องใต้ดิน เธอบอกนักบวชว่าถ้าเขาไปขุดกระดูกเธอออกมาจากห้องใต้ดิน และฝังเธอไว้ในที่ที่เหมาะสม เธอก็จะไปจากที่นี่และได้พักผ่อนสักที
เธอบอกให้นักบวชคนนี้เก็บชิ้นส่วนกระดูกสุดท้ายจากปลายนิ้วของเธอเพื่อที่จะได้รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเธอ
“ถ้าคุณกลับมาที่นี่อีกครั้งนึงหลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว คุณจะได้ยินเสียงฉันตอนกลางดึก และฉันจะบอกคุณว่าฉันซ่อนเงินไว้ที่ไหน และคุณจะได้เอาเงินนั้นไปบริจาคให้กับโบสถ์”
หลังจากพูดจบประโยคเธอก็ดูเหนื่อยล้าและล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนที่จะเลือนหายไปอีกครั้ง นักบวชจึงทำตามคำร้องขอของวิญญาณนี้และฝังเธอไว้ที่หลุมศพอย่างเหมาะสม
วันอาทิตย์ต่อมา นักบวชคนนี้ได้เก็บกระดูกไว้ในคลังสะสม และไม่นาก็มีชายคนหนึ่งมาจับกระดูกนี้ ทันใดนั้นเองกระดูกนี้ก็ติดกับมือเขาทันที ชายคนนี้พยายามตะโกนร้องเหมือนคนบ้า ให้คนช่วยและพยายามดึงกระดูกออกจากมือของเขา สุดท้ายเขาสารภาพหมดเปลือกว่าก่อคดีฆาตกร และตำรวจก็มาจับเขาไปเข้าคุก
ภายหลังชายคนที่ฆาตกรรมได้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ นักบวชจึงเดินทางกลับไปที่บ้านหลังนั้นในกลางดึก เขาก็ได้ยินเสียงอย่างที่วิญญาณตนนั้นได้บอกจริงๆ เขาจึงไปขุดตามที่วิญญาณบอก และก็ได้เจอกับเงินจำนวนหนึ่ง และหลังจากนั้นวิญญาณตนนั้นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย
Harold เป็นหนึ่งในตอนของเล่มสาม ที่มีเรื่องราวดังนี้…
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ร้อนระอุ Thomas และ Alfred ชาวนาสองคนต้องพาวัวของเขาออกไปที่ทุ่งหญ้าสีเขียวที่ร่มเย็นเพื่อไปกินอาหาร และก็พากลับ ทุกวันมันก็เหมือนดั่งเช่งเดิม มันเป็นงานง่ายๆ แต่น่าเบื่อ ชาวนาสองคนนั้นก็บ่นกับวัวของเขาตลอดเวลา ตกดึกพวกเขาก็กลับมาที่กระท่อมเล็กๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ กินข้าว ทำสวน และเข้านอน เป็นอย่างนี้เช่นเดิมทุกวัน
แต่แล้ว Thomas ก็เกิดไอเดียที่จะเปลี่ยนทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง
“เรามาทำตุ๊กตาที่ขนาดเท่าคนจริงกันเถอะ” “มันน่าจะสนุกนะ เราจะวางมันไว้ในสวนเพื่อให้นกกลัวด้วย”
“ที่สำคัญมันต้องมีหน้าตาเหมือน Harold ด้วยนะ” Alfred กล่าว
Harold คือชาวนาคนหนึ่งที่พวกเขาเกลียดมาก พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำและพยายามให้หน้าตามันเหมือน Harold มากที่สุด จนกระทั่งทำเสร็จ แน่นอนว่าทั้งคู่ตั้งชื่อมันว่า Harold
ทุกเช้าแต่ละวันในขณะที่พาวัวไปกินหญ้า เขาได้ผูก Harold ไว้ที่เสาเพื่อให้นกกลัวจะได้ไล่มันไป และทุกคืนพวกเขาก็จะนำมันกลับกระท่อมเพื่อไม่ให้มันเสียหายเผื่อมีฝนตก
พวกเขาเริ่มมีความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อน หนึ่งในพวกเขาจึงถามขึ้นมาว่า
“Harold วันนี้พืชผักของเราเติบโตเป็นไงบ้าง?”
อีกคนจึงล้อเลียนด้วยการทำเสียง Harold และตอบไปว่า
“โตช้ามาก”
ทั้งคู่ก็หัวเราะเยาะชอบใจและสนุกสนานกันใหญ่
ไม่นานพวกเขาก็เอา Harold ออกไปนอกกระท่อม และทุบตี ทั้งเตะทั้งต่อย หนักหน่อยก็เอาข้าวที่พวกเขากินมาละเลงใส่หน้าตุ๊กตาตัวนั้น
“ชอบสตูไหมล่ะ Harold” “กินมันซะสิ!!!”
ทั้งสองก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม
คืนหนึ่ง ในขณะที่ Thomas กำลังแกล้งตุ๊กตา Harold อย่างสนุกสนาน ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ
“แกได้ยินเสียงอะไรไหมวะ” Alfred เอ่ยขึ้นมา
“เสียงของ Harold เว้ย” “ฉันกำลังมองมันอยู่เลยตอนนั้น ฉันไม่อยากจะเชื่อ” Thomas พูดออกมาด้วยความตกใจ
“เห้ย มันจะไปร้องได้ยังไง” “มันน่าจะเป็นเสียงฟางมากกว่า เป็นไปไม่ได้หรอกเว้ย”
“ฉันว่าเราโยนมันลงกองไฟเถอะ” Thomas บอก
“เห้ยอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ” “เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนเราพาวัวไปกินหญ้าเราปล่อยมันไว้ ตอนนี้เรามาจับตาดูมันดีกว่า” Alfred โต้แย้งขึ้นมา
ดังนั้นพวกเขาจึงเอา Harold กลับเข้ากระท่อมและวางไว้ที่มุมห้อง พวกเขาไม่คุยกับมันและไม่พามันออกไปข้างนอกอีก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากมันอีกหลังจากคราวนั้น
ไม่กี่วันต่อมา เขาจึงตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรต้องกลัวอีก ไม่แน่อาจจะเป็นเสียงหนูหรือแมลงที่อาศัยอยู่ในตัว Harold ที่ทำให้เกิดเสียงก็เป็นได้
ดังนั้น Thomas และ Alfred จึงกลับไปทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ พาวัวไปกินหญ้า เอา Harold ไปไว้ในสวน ตกดึกเอา Harold กลับกระท่อม คุยเล่นเฮฮาเหมือนที่เคยทำ แต่ครั้งนี้พวกเขารู้สึกถึงบางอย่างที่แตกต่างออกไป
คืนนี้ Alfred ถามออกมาด้วยอาการหวาดกลัวว่า
“ฉันว่า Harold มันโตขึ้นว่ะ”
“เออ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” Thomas ตอบกลับ
“มันอาจจะเป็นแค่จินตนาการของพวกเราก็ได้” “เราอยู่ที่นี่มาตั้งนานเกินไปแล้ว” Alfred ตอบอย่างมีเหตุผล
เช้าวันถัดมา ในขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารเช้ากัน Harold ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากระท่อมของพวกเขาไป!!! ปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้าน เดินไปๆ มาๆ และทำแบบนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน
พอรุ่งเช้าอีกวัน Harold ก็ปีนลงมาจากหลังคาและเดินไปไกลๆ ยืนนิ่งๆ อยู่ที่มุมนึงของทุ่ง
ชาวนาทั้งสองต่างตกใจ และไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเขากลัวเป็นอย่างมาก
วันนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจพาวัวเข้าไปในหมู่่บ้าน เพื่อที่จะได้ออกจากที่แห่งนี้สักพัก และเมื่อพวกเขาเดินไปไม่ไกลมาก พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า พวกเขาลืมที่รีดนมเอาไว้
ไม่มีใครอยากกลับไปที่แห่งนั้น
“จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลยนะเว้ย” “และถ้าเราไปแล้ว หลังจากนั้นไอ้ตุ๊กตาตัวนั้นมันจะทำอะไรต่อหล่ะ?”
พวกเขาสุ่มด้วยการจับฟางสั้นยาวกันว่าใครจะได้กลับไป และผลคือ Thomas
“เดี๋ยวฉันตามไป” เขาพูด Alfred จึงเดินตรงไปที่หมู่บ้านก่อนล่วงหน้า
เมื่อ Alfred กลับมา เขาพยายามมองหา Thomas ทุกที่ แต่ก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงา แต่สิ่งที่เขาเห็นคือ Harold ยังอยู่!
ตอนนี้มันกลับไปอยู่บนหลังคาอีกครั้ง และในขณะที่ Alfred กำลังมอง Harold อยู่นั้น
มันก็คุกเข่าและอ้าแขนรับแสงอาทิตย์เพื่อผึ่งให้เลือดที่อยู่บนตัวมันแห้งไป
Jangly Man เป็นการรวม 3 เรื่องราวจากหนังเล่มแรก ได้แก่เรื่อง What Do You Come For?, Me Tie Dough-Ty Walker! และ Aaron Kelly’s Bones
มีหญิงชราอยู่คนหนึ่ง เธออาศัยอยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว และเธอก็เหงามาก คืนหนึ่ง เธอนั่งอยู่ที่ห้องครัวและพูดออกมาว่า “โอ้ ฉันหวังว่าฉันจะมีเพื่อนบ้าง”
ไม่นานหลังเธอพูดประโยคนั้นจบ ก็มีเนื้อเน่าเฟะสองขา โผล่ออกมาจากปล่องไฟในทันที
หญิงชราคนนั้นตาถลนออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
หลังจากนั้นขาทั้งสอง ตามมาด้วยลำตัว แขนสองข้าง และส่วนหัว ที่ค่อยๆ ทยอยเล่นลงมาทีละชิ้น
หญิงชรานั่งจ้องขยับไม่ได้ด้วยความตกใจ ชิ้นส่วนทั้งหมดก็ประกอบเป็นโครงร่างขึ้นมา มีลักษณะเป็นผู้ชาย
ร่างที่ประกอบใหม่นั้น ก็ออกมาเต้นไปรอบๆ ห้อง มันเต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ และมันก็หยุด! ทันใดนั้นเอง มันก็หันมาจ้องไปที่ตาของหญิงชราคนนั้นทันที!!!
“แกมาทำไม…” หญิงชราถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ฉันมาทำไมน่ะหรอ..."
“มาหาแกไง!!!”
มีบ้านสยองขวัญอยู่หลังนึง ที่ว่ากันว่าตกกลางคืนจะมีหัวที่ชุ่มไปด้วยเลือดหล่นลงมาจากปล่องไฟ จนหลายๆ คนพูดกันว่า ไม่มีใครกล้าที่จะอยู่ในนั้นข้ามคืนหลอก
หลังจากนั้นจึงมีคนรวยคนหนึ่งได้เสนอเงินจำนวน 200 ดอลลาร์ให้กับใครก็ตามที่สามารถอยู่ในนั้นข้ามคืนได้ มีเด็กชายคนหนึ่งบอกว่าเขาอยากจะลองดู แต่เขาขอพาหมาของเขาไปด้วยได้ไหม ทางฝ่ายนั้นตกลง
คืนถัดมาเด็กชายคนนั้นก็พาหมาไปที่บ้านหลังนั้นทันที เพื่อความสบายใจ เขาจึงจุดไฟที่กองไฟในปล่องไฟของบ้าน ก่อนที่จะเดินไปผิงไฟพร้อมหมาของเขา
จนเวลาผ่านไปสักพัก ก็ยังไม่มีอะไรเกินขึ้น แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนกลางดึก เขาได้ยินเสียงบางอย่าง เบาๆ ดังมาจากในป่า เป็นเสียงเหมือนคนกำลังร้องเพลงอะไรบางอย่าง
“Me tie dough-ty walker!”
“ก็แค่เสียงใครบางคนร้องเพลง” เด็กชายคนนั้นพูดกับตัวเอง แต่เขาก็ยังกลัวอยู่
จนกระทั่งหมาของเขาร้องกลับ!!!
“Lynchee kinchy colly molly dingo dingo!”
เด็กชายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง หมามันจะพูดได้ยังไง
ไม่กี่นาทีถัดมา เขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลงอีกครั้ง คราวนี้มันใกล้กว่าเดิม และดังกว่าเดิม
“Me tie dough-ty walker!”
คราวนี้เด็กชายพยายามไม่ให้มาของเขาตอบเสียงนั้น แต่หมาของเขาไม่สนใจและก็ตอบกลับอีกครั้ง
“Lynchee kinchy colly molly dingo dingo!”
และเหตุการณ์ก็สงบลง แต่ไม่นาน ครึ่งชั่วโมงถัดมา เด็กชายคนนั้นก็ได้ยินเสียงเดิมอีก คราวนี้มันดังใกล้มาก มาจากหลังบ้านเท่านั้นเอง
“Me tie dough-ty walker!”
เด็กชายพยายามไม่ให้หมาของเขาตอบอีกเช่นเคย และคราวนี้หมาของเขาตอบดังกว่าเดิม
“Lynchee kinchy colly molly dingo dingo!”
ไม่นาน เด็กชายก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมาจากในปล่องไฟ
"ME TIE DOUGH-TY WALKER!!!"
หมาของเขาตอบกลับ
"LYNCHEE KINCHY COLLY MOLLY DINGO DINGO!!!"
ทันใดนั้นเอง หัวที่โชกไปด้วยเลือดก็หล่นลงมาจากปล่องไฟ ค่อยกลิ้งมาอยู่ตรงหน้าของหมาตัวนั้น หมาจ้องมองสักครู่และมันก็ล้มลงตายด้วยความหวาดกลัว
หัวนั้นค่อยๆ หันมาหาเด็กชาย พร้อมกับค่อยๆ อ้าปากอย่างช้าๆ และ
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
Aaron Kelly เป็นชายที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว เขาถูกนำร่างใส่โรงศพและจัดมีพิธีศพตามปกติ และถูกฝังตามธรรมเนียม
แต่ในคืนเดียวกันนั้นเอง เขาได้ออกมาจากโรงศพและกลับมาบ้าน!
ครอบครัวของเขากำลังนั่งอยู่รอบกองไฟในขณะที่เขากำลังเดินเข้ามาในบ้าน
เขานั่งลงข้างๆ ภรรยาหม้ายของเขา และถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นหรอ ทุกคนทำเหมือนมีใครบางคนตายงั้นแหละ ใครตายหรอ?”
หม้ายสาวเอ่ยปากบอกไปว่า
“คุณไง”
“ผมไม่เห็นรู้สึกว่าตายเลย ผมรู้สึกว่าผมสบายดีนะ” Aaron ตอบ
“คุณดูไม่เหมือนสบายดีนะ” “คุณดูเหมือนคนตาย คุณควรกลับไปที่หลุมของคุณ” หม้ายตอบกลับ
“ผมจะไม่กลับไปหลุมศพเด็ดขาด จนกว่าผมจะรู้สึกว่าผมตายจริง” เขาตอบกลับอย่างแน่วแน่
หลังจากนั้น Aaron ก็ไม่กลับไปหลุมศพอย่างที่เขาพูด ภรรยาของเขาก็จะไม่ได้เงินประกันจากเขา และถ้าไม่มีเงินจำนวนนั้น เธอก็จะไม่มีปัญญาจ่ายค่าโรงศพ และสัปเร่อก็จะขอโรงศพคืนด้วย
Aaron ไม่ได้แคร์เลยแม้แต่น้อย เขาก็นั่งข้างกองไฟบนเก้าอี้ทำให้มือและเท้าของเขาอุ่นอย่างน่าตาเฉย แต่ข้อต่อของเขามันแห้ง และหลังของเขาแข็งทื่อ ทุกครั้งเขาขยับตัวก็จะมีเสียงดัง แกร๊กๆ
คืนหนึ่งนักดนตรีมือดีได้เข้ามาที่เมืองและเดินทางมาหาภรรยาของ Aaron ตั้งแต่ที่ Aaron ตายไป นักสีดนตรีคนนี้อยากแต่งงานกับภรรยาของ Aaron มาก ทั้งคู่นั่งข้างกันรอบกองไฟ ในขณะที่ Aaron นั่งอยู่อีกฝั่งนึง แกร๊กๆ
“อีกนานแค่ไหนเราถึงจะจัดการกับไอ้ศพนี่” แม่หม้ายถาม
“บางอย่างต้องสำเร็จ” นักดนตรีคนนั้นกล่าว
“นี่มันไม่ค่อยครึกครื้นเลยว่าไหม” Aaron กล่าว “เรามาเต้นกันดีกว่า!”
นักดนตรีคนนั้นจึงหยิบไวโอลินของเขาขึ้นมาและเริ่มบรรเลงเพลง
Aaron เริ่มวอร์มร่างกาย ขยับ ลุกขึ้น เริ่มออกท่าเต้น และในที่สุดเขาเต้น ทุกส่วนในร่างกายขยับ กระดูกลั่น ฟันเหลืองๆ กระทบกัน หัวล้านๆ โยก แขนพลิกไปมา พร้อมด้วยขาสองขาสะบัด หัวเข่าหมุน
เขากระโดดโลดเต้นไปทั่วห้อง คนตายมันเต้นแบบนั้นได้ยังไง! แต่ไม่นานกระดูกของเขาก็หลุดแล้วร่วงลงไปกองกับพื้น
“ดูนั่น!!!” นักดนตรีกล่าว
“เล่นให้เร็วกว่านี้” หม้ายสาวบอก
นักดนตรีคนนั้นเลยเล่นเร็วขึ้น
แกร๊กๆ คนตายคนนั้นกระโดดไปมา พร้อมๆ กับกระดูกหลุดทีละชิ้นสองชิ้นตลอดทาง
“เล่นต่อไป!”
นักดนตรีก็สีไวโอลินต่อไป Aaron ก็เต้นไม่หยุด จนในที่สุด Aaron ก็ลงไปกับพื้น พร้อมกองกระดูกที่หลุดของเขา ทุกส่วนยกเว้นหัวล้านๆ ของเขา
หัวของเขาหันมายิ้มให้นักดนตรีคนนั้น พร้อมๆ กับกระทบฟันตามจังหวะเพลง
“ดูนั่น!!!” นักดนตรีกล่าวด้วยเสียงสั่นๆ
“เล่นดังขึ้นอีก” หม้ายสาวบอก
“โฮ โฮ้ เราไม่ได้กำลังจะสนุกกันอยู่หรอ” หัวของ Aaron พูด
“ผมต้องกลับบ้านแล้ว” นักดนตรีคนนั้นพูดด้วยความหวาดกลัว และหลังจาสกนั้นเขาก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย
ครอบครัวของ Aaron เก็บกระดูกที่กองกับพื้นและเอากลับไปไว้ในโรงศพ พวกเขาเก็บชิ้นส่วนเหล่านั้นเรียงกันใหม่ เพื่อไม่ให้เขากับมาประกอบร่างได้อีก
หลังจากนั้น Aaron ก็อยู่ในหลุมศพไปตลอด และแม่หม้ายสาวก็ไม่เคยได้แต่งงานใหม่อีกเลย
และนั่นแหละครับ คือเรื่องราวของหนังสือบางตอน ที่หนังหยิบเอาไปร้อยเรียงบอกเล่าใหม่ จนรวมมาเป็นเรื่องเดียวกัน
ซึ่งในหนังจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอเมริกาปี 1968 ในเมือง Mill Valley ที่ซึ่งเด็กกลุ่มหนึ่งอยากลองดีเข้าไปยังบ้านร้างผีสิงแห่งหนึ่ง จนได้มาพบกับหนังสือของ Sarah Bellows หญิงสาวผู้มีความลับอันน่าสะพรึง ที่เธอได้เขียนเรื่องราวความน่ากลัวผ่านตัวอักษร จนมาเป็นหนังสือ และเมื่อเด็กกลุ่มนั้นเข้าไปยุ่ง เรื่องราวเหล่านั้นมันก็มิได้เป็นเพียงแค่ตัวอักษรอีกต่อไป เพราะเรื่องราวทั้งหมดมันได้กลายมาเป็นความสยองสุดสะพรึงที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง พบกับความน่ากลัวเหล่านี้ได้ใน Scary Stories to Tell in the Dark - คืนนี้มีสยอง
|
สบายสบายให้มันสมายเวลาสบายแล้วจะได้สบายสมาย... :) |