The Clown Prince of Crime เจ้าชายตัวตลกแห่งอาชญากรรม ฉายาของ The Joker ศัตรูตัวฉกาจคู่ปรับตลอดกาลของ The Dark Knight อัศวินรัตติกาล Batman
ซึ่งตัวละครอย่าง Joker ได้ถูกนำเสนอมามากมายหลายครั้ง ทั้งการ์ตูนอนิเมชั่น ซีรีส์ หนัง และตัวละครนี้มีคนมารับบทหลักๆ มากถึง 7 คนแล้ว เริ่มตั้งแต่ Cesar Romero ใน Batman (1966), Jack Nicholson ใน Batman (1989), Mark Hamill ก็มาให้เสียงพากย์ใน Batman: Mask of the Phantasm (1993)+Batman: The Killing Joker (2016), Heath Ledger ผู้ล่วงลับใน The Dark Knight (2008), Jared Leto ใน Suicide Squad (2016), Zach Galifianakis มาให้เสียงพากย์ใน The Lego Batman Movie (2017), Cameron Monaghan ในซีรีส์ The Gotham (2014-2019) และล่าสุดกับ Joaquin Phoenix มารับบท Arthur Fleck หรือ Joker ในหนังเดี่ยวครั้งแรกของตัวละครนี้ Joker 2019
Joker ผลงานการกำกับของ Todd Phippips ที่เคยฝากผลงานเอาไว้ในไตรภาค The Hangover ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนัง standalone จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องอื่นๆ ในจักรวาล DCEU กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1981 กับสังคมอันตกต่ำไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากอัศวินรัติกาล โดยหนังจะพาทุกท่านไปรู้จักกับนักแสดงตลกตกอับ Arthur Fleck ที่ถูกสังคมอันโหดร้ายกระทำอย่างทารุณ บีบบังคับให้ชายผู้นี้ได้เปลียนแปลงตัวเองไปสู่โลกแห่งอาชญากรรมและนำความวิบัติมาสู่ Gotham City
ซึ่งเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Batman: The Killing Joker ของ Alan Moore กับเรื่องราวของนักแสดงตลกตกอับและมาเป็นโจรภายใต้ The Red Hood จนทำให้ปะทะกับ Batman และพลัดตกลงถังสารเคมีและเกิดเป็น Joker
แต่แรงบันดาลใจหลักๆ ในการสร้างหนัง Joker ครั้งนี้ Todd Phillips ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังของ Martin Scorsese จากเรื่อง Taxi Driver (1976) ที่สะท้อนแบ็คกราวเมืองที่โสมมของ Gotham City และเรื่อง Raging Bull (1980) รวมไปถึงฉากการแสดงของ Robert De Niro ที่ได้มาจาก The King of Comedy (1982) ซึ่งไม่เพียงแต่ฉากหรือแบ็คกราวที่เหมือนกันเท่านั้น Todd Phillips ยังใช้เทคนิค มุมกล้อง การถ่ายทำ ที่ได้รับมาจากทั้ง 3 เรื่องนั้นแบบเต็มๆ อีกด้วย อีกทั้งเขายังยึดที่จะถ่ายทำจริงล้วนๆ ไม่พึ่งเทคนิคพิเศษแต่อย่างใด
Taxi Driver (1976)
Raging Bull (1980)
The King of Comedy (1982)
ก่อนที่ Joaquin Phoenix จะได้บท Joker ไปครอง ในเดือนกันยายน 2017 ทาง Warner Bros. ได้พิจารณ์ Leonardo DiCaprio ให้มารับบท Joker นี้ แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ชื่อของ Joaquin Phoenix ก็เข้ามาแทรกและบทก็ได้ตกเป็นของเขาไป เจ้าตัวได้บอกเอาไว้ว่า
ผมแบบ ตื่นเต้นมาก เพราะมันเป็นหนังแนวที่ผมอยากแสดง มันไม่เหมือนกับหนังทั่วๆ ไป มัน มันมีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในตัวเองจากหนังเรื่องนี้อยู่นะ
หลายๆ คนอาจจะไม่คุ้นชื่อหรือหน้าตาของ Joaquin Phoenix สักเท่าไหร่ แต่เจ้าตัวถือว่าเป็นยอดนักแสดงที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง และเข้าชิงลูกโลกทองคำอีก 5 ครั้ง โดย 1 ในนั้นเขาก็ได้คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปจากเรื่อง Walk the Line
และทางค่ายก็เหมือนจะเลือกไม่ผิดแน่นอน Joaquin Phoenix ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ลดน้ำหนักไปหลายปอนด์ และที่สำคัญเขาไม่ลืมเอกลักษณ์ของตัวละคร Joker อย่าง “เสียงหัวเราะ” เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
ผมต้องศึกษาสภาพจิตใจที่เฉพาะเจาะจงของตัวละครนี้ เพื่อที่จะได้เลียนแบบและเข้าถึงมันให้ได้มากที่สุด รวมถึงเสียงหัวเราะอันมีเอกลักษณ์ด้วย
สิ่งแรกคือผมเริ่มศึกษาเสียงหัวเราะ ผมได้ดูวิดีโอของผู้ป่วยทางจิตเวชที่มีความผิดปกติทางระบบประสาท พวกเขามีเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์และแลดูควบคุมไม่ได้
ซึ่งการหัวเราะแบบนั้นมันถูกเรียกว่า PLC หรือ Pathological Laughter and Crying เป็นภาวะที่มีการแสดงออกทางอารมณ์มากผิดปกติ ที่ขัดกับอารมณ์ภายใน ณ ขณะนั้น และมันไม่สามารถควบคุมการแสดงออกของอารมณ์ได้ (เช่นหัวเราะในเรื่องเศร้า) ตัวของ Joaquin Phoenix ก็ได้ศึกษา เรียนรู้ พยายามทำ และนำมันมาใช้กับหนังเรื่องนี้ ซึ่งผลลัพธ์เขาก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่ก่อนที่เราจะไปชมความบ้าคลั่งของชายผู้โดนสังคมบีบให้กลายเป็นอาชญากรใน Joker เราจะพาทุกท่านมาย้อนรู้จักกับตัวละครนี้กันอีกสักหน่อย
Joker ปรากฏตัวครั้งแรกในคอมิกส์ Batman #1 ปี 1940 และด้วยคาแรคเตอร์วายร้ายตัวนี้ มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งในตอนแรกมันได้ถูกออกแบบโดย Bill Finger ให้เป็นตัวตลกปีศาจ แต่ก็ถูกทางสตูดิโอปฏิเสธเพราะมันค่อนข้างเป็นตัวตลกมากไปเสียหน่อย
แต่ Bob Kane ชอบไอเดียนั้น และได้ไปเห็น Conrad Veidt จากหนังไบ้ The Man Who Laughs (1928) จึงเกิดเป็นไอเดียตั้งต้นใหม่อีกครั้ง จนได้กลายมาเป็น Joker อย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
แต่ถึงมันจะได้รับความนิยมแค่ไหน ก็ไม่มีใครรู้ต้นกำเนิดที่แน่ชัดหรือชื่อจริงของตัวละคร Joker สักที (ยกเว้นผู้แต่ง ก็แน่ล่ะ) ต้องเข้าใจก่อนว่าในหนัง Joker นี้ เป็นเพียงการแต่งขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของตัวละครนี้ เพราะต้นกำเนิดที่แท้จริงยังคงเป็นความลับอยู่จวบจนถึงทุกวันนี้
ความเป็นไปได้ของต้นกำเนิด Joker ก็ยังมีอยู่ใน Detective Comics #168 ได้มีการเปิดเผยถึงที่มา Joker เล็กน้อย ว่าเขาคือ Red Hood ที่ได้เข้าไปขโมยของจากบริษัทการ์ด และพยายามจะหนีการจับกุมของ Batman โดยการโดดหนีลงไปในถังสารเคมีและว่ายน้ำหนีออกมา ซึ่งพอเจ้าตัวกลับถึงบ้านสภาพก็กลายเป็นผิวสีซีด ผมเขียว และตัวเองก็ตระหนักได้ว่าใบหน้าที่น่ากลัวนี้จะสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน และการที่เขาไปขโมยจากบริษัทการ์ด ทำให้เขาตั้งชื่อตัวเองว่า Joker
และอีกครั้งเราได้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของ Joker มากขึ้น ในคอมิกส์ The Killing Joker ของ Alan Moore (ภายหลังก็ได้ถูกทำเป็นเวอร์ชันการ์ตูนอนิเมชั่นด้วย) บอกเล่าถึงวิศวกรในโรงงานเคมีแห่งหนึ่ง ที่ได้ลาออกจากงานเพื่อทำตามความฝันไปเป็นนักแสดงตลก แต่เหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เขากลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ทั้งๆ เขาต้องหาเลี้ยงตัวเองและภรรยาที่ท้องอีกด้วย ทำให้เขาได้ตกลงรับงานจาก 2 อาชญากรให้บุกเข้าไปในโรงงานเคมีที่เขาเคยทำงานอยู่เพื่อที่จะไปบุกปล้นบริษัทการ์ดข้างๆ เขาจึงตกลงรับงาน แต่ในขณะเดียวกันภรรยาของเขาก็ประสบอุบัติเหตุในบ้านตายทั้งแม่และลูก
และหลังจากความเศร้าโศกเสียใจ เจ้าตัวก็รับงานในที่สุดและสวมชุดเป็น Red Hood แต่เมื่อทั้ง 3 บุกเข้าไปก็เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทั้ง 2 อาชญากรได้ถูกยิงเสียชีวิต ตัวเขาก็เลยหนีมาและได้เจอกับ Batman จนทำให้ตัวเองพลัดตกลงไปในถังสารเคมี แต่ก็หนีรอดออกมาได้ และสารเคมีนั้นได้เปลี่ยนใบหน้าสีผมและสภาพจิตใจของเขาไป ทำให้กลายมาเป็น Joker
ใน The Killing Joker ตัวของ Joker ได้กล่าวเอาไว้ประมาณว่า วันแย่ๆ หนึ่งวัน ก็สามารถเปลี่ยนคนๆ นึงให้กลายเป็นบ้าได้ และนั่นหมายถึงตัวของ Joker เอง
จริงๆ ประเด็นของ Joker และ Batman ก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งคู่ปะทะกันมากมายหลายหน มีโอกาสฆ่ากันแทบจะทุกครั้ง แต่ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไป ทั้งคู่ต่างก็อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างด้วยเช่นกัน
มีประโยคหนึ่งในหนัง The Dark Knight ที่ Batman ได้ถาม Joker ไว้ว่า “ทำไมถึงอยากฆ่าฉัน” แล้ว Joker ก็หัวเราะตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ได้อยากฆ่าแก ถ้าไม่มีแกฉันจะทำอะไรหล่ะ? แกเติมเต็มฉัน!”
ถ้าย้อนกลับไปคอมิกส์ ทางด้าน Batman ที่ไม่ฆ่า Joker เพราะตลอดเวลาในใจของ Batman คิดเสมอว่า Joker สามารถกลับมาเป็นคนปกติได้เขาแค่เจอวันแย่ๆ มาวันนึงที่เปลี่ยนเขาไปก็เท่านั้น ส่วนทางด้าน Joker ก็ให้ Batman รอด และจะพิสูจน์ให้เห็นว่า คนเราถ้าเจอวันแย่โคตรๆ ก็สามารถกลายเป็นบ้าได้เหมือนตัวเขาเช่นกัน เหมือนกับที่ Joker ทำให้ Gordon เข้าใกล้คำว่าบ้าแบบสุดๆ
ในคอมิกส์เล่มนี้ Batman ได้มีโอกาสฆ่า Joker อีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ทำ เพราะเขายังยึดถืออุดมการณ์ไม่ฆ่าคน และวิธีของเขาต้องได้ผล เขาจะพิสูจน์กับ Joker ให้เห็นว่ามันได้ผล และเขาสามารถช่วย Joker ได้จริงๆ เขาบอกว่าพวกเราสองคนสามารถร่วมงานกันได้ ไม่จำเป็นต้องมาไล่ฆ่ากันไปอย่างไม่รู้จบแบบนี้ เรื่องพวกนี้ต้องยุติสักที แต่ทางด้าน Joker บอกว่ามันสายไปแล้วสำหรับเรื่องนี้ พวกเราทั้งคู่มาไกลเกินกว่าจะไปยังจุดนั้นแล้ว ทำให้ Joker ได้เล่าเรื่องตลก ออกมาให้ Batman ฟัง และจบด้วยการที่ทั้งคู่ยิ้ม และหัวเราะกันท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย โดยส่วนตัวมองว่าเรื่อราวนี้มันสุดยอดมากจริงๆ
ส่วนทั้งคู่จะฆ่ากันหรือไม่นั้นก็ไม่มีทางรู้ได้ ปล่อยให้คนดูไปคิดเอง นับว่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน เป็นสองตัวละครที่มีมิติแบบสุดๆ เป็นอุดมการณ์ที่ทั้งคู่ยึดถือ ทั้งมีเสน่ห์ และถูกบอกเล่าออกมาได้อย่างน่าสนใจ
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม Joker ก็คืออาชญากร ที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ และเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้ว่า “แค่วันแย่ๆ หนึ่งวันก็สามารถเปลี่ยนให้คนกลายเป็นบ้าได้” และนี่คือ 8 วีรกรรมของ Joker ที่เรียกได้ว่าโหดเหี้ยม ทารุณ และโรคจิตแบบสุดๆ
ในคอมิกส์หัว Batman: Death in the Family ตัวของ Joker ได้สร้างวีรกรรมสุดแสบเอาไว้กับ Robin Jason Todd เขาได้ใช้แชลงทุบ Robin ปางตายและทิ้งไว้ในโรงงานล็อกประตูที่ติดตั้งระเบิดเอาไว้ ซึ่งการสูญเสียในครั้งนี้ทำให้ Batman รู้สึกเศร้าใจและเสียสุญเป็นอย่างมาก ทำให้เจ้าตัวเอาไปเปรียบเทียบกับการตายของตัวเองเลยทีเดียว
เหตุผลเดียวที่ Batman ยังมีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้คือ Joker ไม่ยอมฆ่า ใน Batman (1940) #251 เป็นตอนที่ Batman สะกดรอยตาม Joker แต่ก็พลาดท่าเสียทีให้ Joker ในที่สุด สุดท้าย Joker ไม่เลือกจะฆ่า เพราะเขาบอกว่ามันเป็นเกมที่ตัวเขาและ Batman เล่นกันมาหลายปีแล้ว การชนะในครั้งนี้มันไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะ Joker ต้องการทำลาย Batman จากข้างใน ต้องการให้กลายเป็นบ้านั่นเอง
ในคอมิกส์ Detective Comics #741 ตอน No Mans Land ตัว Joker ได้จับเด็กทารกหลายสิบคนมาขังไว้ในห้องใต้ดินของสถานีตำรวจ Gotham แต่ภรรยาของ Gordon อย่าง Essen Gordon ได้แกะรอยและตามเข้าไปหา Joker และปะทะกัน โดยการชี้ปืนไปหา Joker และบอกให้เขายอมจำนนซะ แต่ Joker ได้ทิ้งเด็กทารกคนนึงจึงทำให้ Essen ต้องพุ่งไปรับ ก่อนที่ภายหลังจะโดน Joker ยิงทิ้ง ภายหลังเจ้าตัวก็ออกมามอบตัวกับทางตำรวจแบบง่ายดาย และเกือบทำ Gordon เสียสติพลั้งมือฆ่า แต่เขาก็ทำแค่เพียงยิงเข่า Joker โดยที่ Batman บอกไว้ว่าจะไม่ห้ามอีกด้วย
ในคอมิกส์ Batman Confidential #11 Joker ได้สร้างบอลลูนขนาดยักษ์และระเบิดทิ้งกลางอากาศ ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยเศษกระจกที่อาบยาพิษพุ่งลงมาใส่ประชาชนเมือง Gotham ซึ่งทำให้คนที่โดนมีรอยยิ้มที่น่าสยดสยองและเสียชีวิต
ในคอมิกส์ Batman: Death of the Family หลังจากที่ตัวของ Joker ได้หลบหนีออกจาก Arkham Asylum และได้ทิ้งใบหน้าตัวเองเอาไว้ตอกตะปูติดกับกำแพง เพื่อเป็นการบอกถึงการเกิดใหม่ 1 ปีให้หลัง เขาได้กลับมาอีกครั้งพร้อมฆ่าตำรวจไป 19 คน ติดหน้าตัวเองกลับมาและลักพาตัวเหล่า Bat-Family ทั้ง Nightwing, Robin, Red Hood, Batgirl และ Red Robin โดยการจับมัดไว้ในถ้ำค้างคาว มานั่งรวมกันที่โต๊ะอาหาร เสิร์ฟอาหารเป็นหน้าพวกเขาเหล่านั้น! ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นมุกของ Joker เฉยๆ แต่ถึงกระนั้น Joker ก็มีแผนสำรองเป็นระเบิดแก๊สหัวเราะให้เหล่า Bat-Family ตีกันเอง และตอนนี้เป็นอีกหนึ่งตอนที่ Batman เกือบล้ำเส้นฆ่า Joker โดยที่บอกว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย และ Batman ก็เหมือนจะรู้ความลับ และเกือบจะบอกชื่อจริงของ Joker ไป แต่สุดท้ายก็ไม่ทันได้บอก เพราะ Joker มาช็อตเขาและตกน้ำไป
และไม่ใช่เพียงแต่หนังหน้าตัวเองเท่านั้นที่ Joker ถลก เขายังถลกหนังคนเป็นๆ เพื่อความสนุกอีกด้วย
ในการ์ตูนอนิเมชั่น Dark Knight Returns หนึ่งในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อ Batman ได้ตามไล่ล่า Joker เข้าไปในสวนสนุก ระหว่างที่ไล่ล่ากัน Joker ได้วิ่งหนีและฆ่าคนไปถึง 13 ศพ
แต่สุดท้าย Joker ก็จนมุม และนี่แหละคือจุดที่ Joker ชนะ เพราะ Batman ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลยระหว่างทางที่ไล่ล่า Joker ปล่อยให้ความโกรธครอบงำ และเพื่อเป็นการตอกย้ำชัยชนะ Joker จึงฆ่าตัวตายด้วยการหักคอตัวเอง ทำให้ Batman ตกเป็นฆาตกรที่ฆ่า Joker นั่นจึงถือเป็นชัยชนะอย่างแท้จริงของ Joker ที่ Batman ไม่สามารถทวงคืนชัยชนะมาได้ เพราะ Joker ได้ตายไปแล้ว
ใน Injustice Joker ได้ทำลายจิตวิญญาณของ Superman อย่างสมบูรณ์แบบ เขาเริ่มจากการฆ่า Jimmy Olsen เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานของ Superman ในฐานะ Clark Kent หลังจากนั้นก็ลักพาตัว Lois Lane คนรักของ Superman แต่ก็โดน Superman ตามมาได้ แต่ Superman ก็โดนแก๊สพิษที่ผสมแก๊สของ Scarecrow และ Kryptonite
ด้วยเหตุนั้นทำให้ Superman เกิดภาพหลอนมองเห็น Lois Lane คนรักที่กำลังท้องอยู่กลายเป็น Doomsday ตัวของ Superman จับ Lois Lane ขึ้นไปในอวกาศและท้ายที่สุดก็ขาดอากาศหายใจตาย แต่เท่านั้นยังไม่พอ ถึงแม้ Superman จะรู้ความจริงแล้ว เมื่อ Lois Lane หัวใจหยุดเต้น กลายเป็นไปจุดชนวนที่ Joker ติดตั้งไว้ ก่อให้เกิด Nuclear ทำลายทั้ง Metropolis และประชากรทั้งหมดผู้บริสุทธิ ที่ Superman พยายามปกป้องมาหลายปี...โคตรโหดร้ายอะจริงๆ
หลังจากการตายที่แสนหดหู่ Batman ก็ได้นำ Joker มาสืบสวน แต่ Superman ก็เข้ามาและฆ่า Joker ทิ้งด้วยมือตัวเอง Superman จึงตัดสินใจจะสร้างโลกใหม่ จึงก่อให้เกิดเป็นสงครามของเหล่าฮีโร่ใน Injustice: Gods Among Us และนี่ถือเป็นชัยชนะอีกครั้งของ Joker ที่ทำให้บุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดได้สูญเสียจิตวิญญาณไป ถึงแม้ตัวเองจะตายก็ตาม
หลังจากที่ Gordon สูญเสียภรรยาไป ในคอมิกส์หัว The Killing Joke ตัวของ Joker ได้ยิง Barbara Gordon หรือ Batgirl เข้าที่ท้องต่อหน้าพ่อของเธอ Jim Gordon และกระสุนนั่นทำให้เธอพิการตั้งแต่ช่วงล่างลงไป
แต่ความโหดเหี้ยมเท่านั้นยังไม่พอ Joker ได้จับตัว Gordon ไปที่สวนสนุก และพา Gordon นั่งรถลางทัวร์ ซึ่งบนจอได้เปิดภาพลูกสาวของ Gordon ให้เจ้าตัวดู ซึ่งในภาพนั้นคือภาพ Barbara ในร่างเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยเลือด นับว่าโหดร้ายจริงๆ แต่ก็เป็นที่ถกเถียงกันมาถึงตอนนี้ว่า Joker ได้ข่มขืน Barbara หรือเปล่า เพราะไม่ได้มีฉากให้เห็นชัดๆ แต่ก็มีภาพที่กำลังจะปลดเสื้อผ้าของเธอ
ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็เป็นตัวบ่งบอกชั้นดีเลยว่า Joker คือโรคจิตและเข้าขั้นบ้าอย่างแท้จริง ถ้าสังเกตดีๆ เราจะเห็นได้เลยว่า Joker พยายามพิสูจน์จุดยืนตัวเองมาตลอดว่าทุกคนสามารถเป็นบ้าเหมือนเขาได้ เพียงแค่เจอ “วันแย่ๆ สักวัน” เท่านั้นเอง
และแน่นอนว่า “วันแย่ๆ สักวัน” ก็ก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันในหนังต่อตัวของ Arthur Fleck ที่ได้ตกเป็นเหยื่อของสังคมอันเสื่อมโทรม ซึ่งมันได้ฆ่าตัวตนเขาทั้งเป็น ก่อกำเนิดเป็นอาชญากรนามว่า Joker
พบกับหนังเดี่ยวของเจ้าชายตัวตลกแห่งอาชญากรรม The Clown Prince of Crime ครั้งแรก กับเรื่องราวสุดแสนจะความบ้าคลั่งครั้งนี้ได้ใน Joker
|
สบายสบายให้มันสมายเวลาสบายแล้วจะได้สบายสมาย... :) |