ด้วยคะแนนถึง 100% จากเว็บไซต์จัดอันดับหนังชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes ซึ่งเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ทำได้ เราสามารถรู้ได้เลยว่า ซีรีส์ The Queen’s Gambit เป็นหนังที่ไม่ธรรมดา ด้วยเส้นเรื่องที่ย้อนกลับไปในยุค ’60 อันเป็นยุคที่ผู้หญิงยังไม่เท่าเทียมกับผู้ชายมากนัก เราจะได้เห็นการดิ้นรนของเบธ ฮาร์มอน เด็กหญิงกำพร้าจากรัฐเคนตักกีที่กรุยทางให้ตัวเองสู่ตำแหน่งแกรนด์มาสเตอร์ แชมป์โลกแห่งวงการหมากรุก แน่นอนว่าในวงการของผู้ชายเช่นนี้ เส้นทางย่อมเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่เบธก็สามารถใช้อัจฉริยภาพของตนผ่านมันมาได้อย่างสง่างามในที่สุด
ที่มาภาพ https://www.lifestyleasia.com/bk/culture/entertainment/watch-the-queens-gambit-netflix/
ใครที่ดูซีรีส์ The Queen’s Gambit ย่อมอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความประณีตของฉาก ทั้งบ้านของเบธที่มีวอลเปเปอร์ลายดอกไม้กับโซฟานุ่มนิ่ม หรือโรงแรมหรูในเม็กซิโกที่ตกแต่งเล่นแสงเงากับรูปนูนต่ำอย่างคลาสสิค ฉากที่ย้อนยุคกลับไปในปี ค.ศ. 1960 นี้เล่นกับประสาทสัมผัสของผู้ชม จนบางคนอาจได้กลิ่นหมาดของพรมที่เจือกับกลิ่นบุหรี่ในทุกโรงแรมที่เบธเยื้องย่างเข้าไป เบธต้องไปเยือนโรงแรมหรูหลายแห่งเพื่อแข่งหมากรุก และนั่นเป็นการพาผู้ชมไปผจญภัยยังสถานที่เก่าที่ถูกเนรมิตให้กลับมามีชีวิตเหมือนกับจับต้องได้ เรียกได้ว่า นอกจากจะได้ท่องเที่ยวไปในโลกบนกระดานตารางสี่เหลี่ยมของหมากรุกแล้ว เรายังได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมที่คงความสง่างามข้ามยุคสมัย ผ่านการเนรมิตของ CG
ที่มาภาพ https://lareviewofbooks.org/article/always-lived-castle-one-month-queens-gambit/
อีกจุดที่ไม่อาจพลาดการชมไปได้ก็คือเรื่องเสื้อผ้าของตัวละคร เราจะได้เห็นเบธแปลงโฉมจากเด็กหญิงผมสั้นหน้าม้าที่สวมโค้ตตัวหลวมโพรก เป็นที่ระคายตาเพื่อนที่โรงเรียน ไปสู่หญิงสาวในชุดเดรสกำมะหยี่สีน้ำเงิน แฟชันและทรงผมที่ฮิตในยุค ’60 ได้ออกมาโลดแล่นบนจออีกครั้งจากฝีมือของทีมคอสตูมชั้นแนวหน้า ขับให้นักแสดงหลัก อันยา เทย์เลอร์ จอย กลายเป็นจุดดึงความสนใจ จนเราไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้ขณะที่เธอเท้าคางเล่นหมากรุก พลางจ้องหน้าคู่แข่งเหมือนสิงโตรอขย้ำเหยื่อ
ที่มาภาพ https://www.salon.com/2020/10/31/the-queens-gambit-ending-sexuality-season-2/
โลกของเบธเป็นโลกที่โดดเดี่ยว เพราะเธอต้องสูญเสียแม่ไป เธอจึงมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน หนึ่งคนในนั้นคือแฮร์รี เบลติก แชมป์หมากรุกเคนตักกี ที่มาสอนเทคนิคต่างๆ ให้กับเบธ และเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาในวันที่เธอไม่มีใคร แม้แฮร์รีจะรู้ตัวว่าเขาสู้เบธไม่ได้ แต่การมาของเขาก็ทำให้บ้านที่ว่างเปล่าของเบธถูกเติมเต็มไปด้วยความอบอุ่น และทำให้เธอตั้งสมาธิกับการเล่นได้อย่างดี
ในขณะที่อีกคนหนึ่งคือเบนนี วัตส์ แชมป์อเมริกาผู้มาในชุดหมวกคาวบอยและโค้ตหนัง ผู้ชวนเบธไปฝึกที่นิวยอร์ค และแนะนำให้เธอได้รู้จักเพื่อนๆ นักหมากรุกของเขา อาจเป็นจริงว่าเบธนั้นมีอัจฉริยภาพ แต่ในโลกยุค ’60 ผู้หญิงก็ยังคงต้องพึ่งพาผู้ชายในหลายด้าน โดยเฉพาะในการทำความรู้จักกับวงสังคมใหม่ๆ ชายทั้งสองมีอิทธิพลต่อเบธมาก และพวกเขาก็ช่วยเหลือ ให้คำปรึกษากับเธอในยามคับขันหลายครั้ง
ที่มาภาพ https://www.nme.com/reviews/the-queens-gambit-review-netflix-2796375
อย่างไรก็ตาม ตัวละครตัวหนึ่งที่ช่วยเบธแก้เกมในยามหน้าสิ่วหน้าขว่านจริงๆกลับเป็นหญิงสาวที่ชื่อว่าโจลีน เพื่อนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเบธ ที่เห็นว่าเธอเป็นครอบครัว และให้เงินทุนเบธบินไปแข่งที่รัสเซีย น่าเสียดายที่ตัวละครโจลีนไม่ได้มีบทบาทมากเท่าตัวละครชายทั้งสองที่ถูกกล่าวถึง เธอปรากฏตัวขึ้นเมื่อถึงท้ายเรื่องและทำให้หนังคลี่คลายปมปัญหาได้ โดยที่ผู้ชมไม่ได้รู้เกี่ยวกับเธอมากเท่าแฮร์รีและเบนนี
ที่มาภาพ https://lanetaneta.com/moses-ingram-de-queens-gambit-dice-que-trabajar-en-la-serie-es-una-experiencia-fundamental/
แม้จะมีความน่าเสียดายในเรื่องการแบ่งบทให้ตัวละครหญิง แต่ The Queen’s Gambit ถือเป็นมินิซีรีส์อีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด และสามารถดูจบได้ในเวลาไม่นานนัก แม้คนที่เล่นหมากรุกไม่เป็นก็สามารถสนุกกับหนังเรื่องนี้ได้ และพอรู้ตัวอีกทีอาจเผลอดูไปจนถึงตอนสุดท้ายแล้ว
รับชม The Queen’s Gambit ได้แล้ววันนี้ ทาง Netflix
ที่มาภาพ https://www.imdb.com/title/tt10048342/
|
นักเขียนอิสระให้กับสื่อออนไลน์ ชอบวิจารณ์หนังและหนังสือ |