หากพูดถึงโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายนาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ไวรัสโคโรน่า” สายพันธ์ุใหม่ (2019-nCoV) ที่เป็นสาเหตุของ โรคปอดอักเสบอย่างรุนแรงควบคู่กับอาการไข้หวัด ซึ่งการระบาดของเชื้อไวรัสนี้ยังส่งผลให้เกิดการชัตดาวน์เมือง ‘อู่ฮั่น’ ในสาธารณรัฐประชาชนจีน จากเมืองที่ถูกตั้งสมญานามให้เป็น ชิคาโก้แห่งตะวันออก และเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 8 ของประเทศจีน กลับถูกเปลี่ยนเป็นเมืองเขตกักกันโรคที่มีประชาชนกว่า 11 ล้านคนต้องถูกทิ้งร้างอยู่ในเมือง
ย้อนกลับไปช่วงแรกที่มีการค้นพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (31 ธันวาคม 2562) สาธารณสุขประจำเมืองอู่ฮั่นพยายามหาคำตอบของสาเหตุที่ทำให้ประชาชนเมือง “อู่ฮั่น” เกิดอาการ “ปอดอักเสบ” พร้อมกัน 27 คน ซึ่งผู้ป่วยที่เข้าไปพบหมอในโรงพยาบาล มีอาการปอดอักเสบ มีไข้สูง คล้ายไข้หวัด ไอแห้งๆ และหายใจหอบเหนื่อย
หลังจากการสอบถามที่มาของการรับเชื้อส่วนใหญ่ให้การสอดคล้องมุ่งไปยังตลาดสดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอู่ฮั่น ซึ่งคาดว่าเป็น ต้นตอของเชื้อไวรัส หน่วยงานในสังกัดของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน (CDC) จึงเข้าตรวจสอบตลาดแห่งนั้นและพบว่าตลาดไม่ได้มาตรฐานอย่างมากในเรื่องสุขอนามัย จึงได้ทำการสั่งปิดตลาดนั้นไว้ก่อนเพื่อตรวจสอบหาตัวอย่างชีวภาพของเชื้อไวรัส จนพบกรดนิวคลีอิกของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ในตัวอย่าง 33 ตัวอย่างจากทั้งหมด 585 ตัวอย่าง
ภาพจาก https://www.ladbible.com/news/news-tests-confirm-coronavirus-outbreak-did-start-at-huanan-seafood-market-20200128
จากข้อมูลที่พบ ตลาดสดแห่งนี้มีชื่อว่าตลาด “หัวหนาน” เป็นแหล่งค้าขายอาหารสดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอู่ฮั่น ขึ้นชื่อเรื่องความไม่สะอาด และแออัดด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน ชาวจีนที่ติดเชื้อล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เคยไปที่ตลาดสดแห่งนี้มาแล้ว บางรายเป็นพ่อค้าแม่ขายที่ทำมาหากินอยู่ในตลาด อีกทั้งที่ตั้งตลาดยังอยู่ใกล้กับรถไฟ จึงไม่แปลกที่การแพร่ระบาดจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากจะขายอาหารทะเลเป็นหลักแล้วภายในตลาดหัวหนานยังมีการขายสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น จิ้งจอก จิงโจ้ จระเข้ ลูกหมาป่า นกยูง งู ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ นอกจากนี้ยังมีค้างคาว และชะมดที่เป็นสาเหตุให้เกิด โรคซาร์ส (SARS-CoV) ในประเทศจีนช่วงปี ค.ศ. 2003 ซึ่งการระบาดครั้งนั้นรุนแรงกว่าครั้งนี้มาก อีกทั้งไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ก็ยังเป็นไวรัสตระกูลเดียวกันกับโรคซาร์ส นั่นหมายความว่านี่ ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เกิดการระบาดของไวรัสชนิดนี้ขึ้นในประเทศจีน
สำหรับสัตว์ป่าที่นำมาขายนั้นเพราะชาวจีนส่วนมากนิยมการบริโภคสัตว์ป่าเป็นอาหาร ซึ่งไม่ใช่เกิดจากความลุ่มหลงและความอยากลิ้มอยากลองเท่านั้น แต่มี รากฐานจากวัฒนธรรมและเศรษฐกิจบ้านเมือง ที่ทำให้ชาวจีนพยายามมองหาอาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในชีวิต เพราะไม่เคยลืมเมื่อครั้งที่เคยอดอยากจากช่วงการ ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2509 เวลานั้นชาวจีนส่วนมากต้องจับสัตว์ป่ามาเป็นอาหารเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องอดตาย ทำให้การกินสัตว์ป่าไม่ใช่เรื่องแปลกของชาวจีน และ วัฒนธรรมในอดีตจึงได้หล่อหลอมให้ปัจจุบันชาวจีนมักอยากลิ้มลองอาหารป่าแปลกๆ อยู่เสมอหรือที่เราเรียกกันว่า เปิบพิศดาร
ภาพจาก https://medium.com/@siradrianbond/coronavirus-2019-ncov-part-1-d6a338eed7c5
ด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้เชื่อว่าไวรัสโคโรน่าที่ควรจะพบได้เฉพาะในสัตว์อย่างค้างคาว งู หรือชะมด เป็นต้น กลับเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านการกิน เพาะเชื้อจนกลายพันธุ์เป็นไวรัสมรณะ เรื่องนี้เป็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในช่วงที่ต่างคนต่างพยายามหาสาเหตุของการเกิดโรค บนโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพคนจีนที่นำค้างคาวมาทำซุป จนทำให้เรื่องมันดูเข้าเค้า แต่ความจริงก็ยังไม่ได้ถูกสรุปโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างเป็นทางการ เพราะ ผู้ติดเชื้อที่พบในหลายประเทศภายหลัง รวมถึงประเทศไทย บางรายกลับไม่เคยได้ไปที่เมืองอู่ฮั่นด้วยซ้ำ นั่นคือสาเหตุที่ต้นตอของไวรัสชนิดนี้อาจมีอะไรมากกว่าที่หลายคนนึกคิด
แม้จะยังไม่มีผลสรุปออกมา อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงเรื่องที่อู่ฮั่นคือศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสก็เป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก่อนหน้าที่จะมีการประกาศสภาวะการระบาดของเชื้อไวรัส ใครจะทราบว่าทางการจีนทราบมาก่อนแล้วหนึ่งเดือน แต่ไม่ได้มีมาตรการป้องกันแต่อย่างใด
ภาพจาก https://www.nytimes.com/2020/01/29/opinion/coronavirus-china-government.html?fbclid=IwAR1hYDEtoHYUEiXSjcZOhTiMxhhwnc0pJOumHj0p-8fr9nRFKvHMqZ77P14
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยโดย The New York Times ที่มีการพูดถึงความจริงเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรน่าในเมืองอู่ฮั่น โดยระบุว่าความจริงเชื้อถูกค้นพบตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 โดยแพทย์ของโรงพยาบาลในพื้นที่ได้แจ้งข้อมูลเรื่องไวรัสลงกลุ่ม Wechat จากนั้นเมื่อทางการทราบก็จัดการปัญหาโดยการควบคุมตัวแพทย์ที่ปล่อยข่าวพร้อมพวกที่รู้เรื่อง และปล่อยให้เชื้อไวรัสระบาดต่อไปเดือนกว่า จีนถึงเริ่มรายงานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) วันที่ 31 ธันวาคม และยังคงปล่อยให้ชาวเมืองตกอยู่ในความมืดมน จนกระทั่งมีการสั่ง ชัตดาวน์เมืองอู่ฮั่น (วันที่ 23 มกราคม 2563) ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ดิ่งตัวลงทันที และยิ่งมีการตื่นกลัวมากขึ้น เมื่อ ทางการจีนออกมาสารภาพว่ามีการปกปิดไว้ก่อนหน้านี้จริงและปล่อยประชาชนกว่า 5 ล้านคนออกจากเมืองไปแล้ว ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของทางการจีน
ช่วงเวลาที่เกิดการสั่งชัตดาวน์เมืองอู่ฮั่น เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น การปิดเมืองส่งผลให้เมืองทั้งเมืองและประชากรที่เหลือตกค้างติดอยู่ในความโกลาหล สำนักข่าวท้องถื่นมีการเปิดเผยภาพถ่ายของสถานีรถไฟในสภาพว่างเปล่า หลังทางการเมืองอู่ฮั่นออกคำสั่งให้ปิดสถานีรถไฟต่างๆ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจตราบนถนนสายหลักเพื่อป้องกันประชาชนเดินทางออกจากเมือง ผู้คนต่างแย่งกันกักตุนอาหาร โรงพยาบาลท้องถิ่นเต็มไปด้วยผู้ป่วย ขณะที่สายการบินทั่วโลกประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดที่จะเดินทางไปกลับเมืองอู่ฮั่น ประชาชนส่วนมากเก็บตัวไม่กล้าออกจากบ้านท้องถนนเปรียบเสมือนเมืองร้างและหากปัจจุบันโลกไม่มีอินเตอร์เน็ตคงไม่มีใครกล้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในเมืองที่ถูกปิดกักกัน
ภาพจาก https://www.2oceansvibe.com/2020/01/30/coronavirus-amazing-videos-from-wuhan-show-a-city-on-lockdown/
เวลานั้นองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกการปิดเมืองนี้ว่า “Unprecendented” หรือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แนวทางการแนะนำตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก
ในขณะที่ทั่วโลกต่างเฝ้าจับตาดูความเป็นไปได้หลังการปิดเมือง การทำงานของโรคระบาดก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากทุกมุมโลกเป็นทวีคูณ ทำให้รัฐบาลหลายประเทศต่างเตรียมมาตรการรับมือ และทราบกันดีว่าเหตุการณ์ชัตดาวน์เมืองอู่ฮั่นนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์จะพัฒนาตัวเองได้ก่อนหรือไวรัสจะกลายพันธุ์ไปอีกขั้น เพราะตามรายงานขององค์การอนามัยโลกมีการระบุถึงลักษณะพิเศษของไวรัสโคโรน่า ซึ่ง สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย เพราะมีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน คือมีสารพันธุกรรมประเภท RNA สายเดียว จึงเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ง่าย ส่งผลให้รับมือกับเชื้อยากเพราะเชื้อโรคจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
ภาพจาก https://www.nytimes.com/2020/01/30/opinion/wuhan-coronavirus-epidemic.html
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงของโรคระบาดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เมื่อมีการระบาดของโรคโดยธรรมชาติแล้ว หากไม่มีการควบคุมใดๆ เลย การระบาดของโรคจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (ตามภาพจำลองเส้นกราฟสีแดง) ทำให้จำนวนผู้ป่วยทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ผลกระทบคือความโกลาหลจะเริ่มขึ้นเมื่อโรงพยาบาลไม่สามารถรับมือได้ ซึ่งหากเป็นไปตามนี้จะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ไวรัสจะหายไปอย่างรวดเร็ว
กลับกันหากมีมาตรการในการดูแล ควบคุม หรือพยายามหยุดยั้งในระดับหนึ่ง เวลาของการระบาดจะยาวนานขึ้น (เส้นสีขาว) ซึ่งการรับมือของผู้ป่วยในโรงพยาบาลอาจไม่สามารถรองรับได้เป็นครั้งคราว และมีผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวนไม่น้อยก่อนไวรัสจะทยอยหายไป
แต่แนวทางที่สำคัญจริงๆ คือเส้นสีเหลือง ซึ่งเป็นการใช้มาตรการทุกอย่างที่เข้มงวด จริงจัง เพื่อขัดขวางการระบาดของโรค ให้มีจำนวนน้อยลงที่สุด การระบาดของไวรัสจะยาวนานขึ้น จนมนุษย์เริ่มสร้างภูมิต้านทานได้ ซึ่งอาจต้องรอกันเป็นปี แต่มาตรการดูแลผู้ป่วย และระบบสาธารณสุขจะคล่องตัวขึ้น การสูญเสียจะเกิดน้อยที่สุด
ศ.นพ.ยง ยังระบุทิ้งท้ายด้วยว่า กระบวนการนี้จะช่วยให้มนุษย์มีเวลาได้ศึกษามันเพื่อสร้างวัคซีนมาช่วยเสริมภูมิต้านทาน จนโรคหยุดระบาด และกลายเป็นแค่เพียง โรคประจำถิ่นที่พบได้ทั่วไปเท่านั้น
ทั้งนี้ทั่วโลกยังคงเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ของไวรัสโคโรน่าอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือตัวเราเองต้องป้องกันตัวเองและหมั่นดูแลสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่าที่อาจปะปนอยู่ในอากาศ
|
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว |